วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Keyword

Keywords (คำหลักในภาษาซี)

Keyword and Description
and=alternative to && operator
and_eq=alternative to &= operator
asm=insert an assembly instruction
auto=declare a local variable
bitand=alternative to bitwise & operator
bitor=alternative to operator
bool=declare a boolean variable
break=break out of a loop
case=a block of code in a switch statement
catch=handles exceptions from throw
char=declare a character variable
class=declare a class
compl=alternative to ~ operator
const=declare immutable data or functions that do not change data
const_cast=cast from const variables
continue=bypass iterations of a loop
default=default handler in a case statement
delete=make dynamic memory available
do=looping construct
double=declare a double precision floating-point variable
dynamic_cast=perform runtime casts
else=alternate case for an if statement
enum=create enumeration types
explicit=only use constructors when they exactly match
export=allows template definitions to be separated from their declarations
extern=tell the compiler about variables defined elsewhere
false=a constant representing the boolean false value
float=declare a floating-point variable
for=looping construct
friend=grant non-member function access to private data
goto=jump to a different part of the program
if=execute code based on the result of a test
inline=optimize calls to short functions
int=declare an integer variable
long=declare a long integer variable
mutable=override a const variable
namespace=partition the global namespace by defining a scope
new=allocate dynamic memory for a new variable
not=alternative to ! operator
not_eq=alternative to != operator
operator=create overloaded operator functions
or=alternative to operator
or_eq=alternative to = operator
private=declare private members of a class
protected=declare protected members of a class
public=declare public members of a class
register=request that a variable be optimized for speed
reinterpret_cast=change the type of a variable
return=return from a function
short=declare a short integer variable
signed=modify variable type declarations
sizeof=return the size of a variable or type
static=create permanent storage for a variable
static_cast=perform a nonpolymorphic cast
struct=define a new structure
switch=execute code based on different possible values for a variable
template=create generic functions
this=a pointer to the current object
throw=throws an exception
true=a constant representing the boolean true value
try=execute code that can throw an exception
typedef=create a new type name from an existing type
typeid=describes an object
typename=declare a class or undefined type
union=a structure that assigns multiple variables to the same memory location
unsigned=declare an unsigned integer variable
using=import complete or partial namespaces into the current scope
virtual=create a function that can be overridden by a derived class
void=declare functions or data with no associated data type
volatile=warn the compiler about variables that can be modified unexpectedly
wchar_t=declare a wide-character variable
while=looping construct
xor=alternative to ^ operator
xor_eq=alternative to ^= operator

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไวรัสที่อันตรายที่สุดในโลก และวิธีปอ้งกัน
คำเตือนจากไมโครซอฟท์ ( www. microsoft. com) คำเตือน!!!ไมโครซอฟท์ (www.microsoft. com)และแม็คอาฟี( www. mcafee. com ) เพิ่งพบไวรัสตัวใหม่ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายมากที ่สุดเท่าที่มีมาแม็คอาฟีเพิ่งพบ ไวรัสตัวนี้เมื่อบ่ายวานนี้ (วันที่ 28 พ.ค. 51) แ ละยังไม่มีโปรแกรมป้องกัน ไวรัสนี้จะทำลายเซคเตอร์ซีโร่ในฮาร์ดดิสค์ซึ่งเป็นที่เก็บข้อมูลการทำงานที่ ขาดไม่ได้การทำงานของมันเป็นดังนี้ :มันจะส่งตัวเองโดยอัตโนมัติไปยังทุกรายชื่อที่คุณติดต่ อโดยใช้หัวข้อ AVirtual Card for You (คล้ายเวลาเราได้การ์ดอินเทอร์เนตจากเพื่อน) ทันทีที่เปิดสิ่งที่ส่งมานี้ คอมพิวเตอร์จะหยุดทำงานเ พื่อผู้ใช้จะต้องบูธเครื่องใหม่ และเมื่อกดปุ่ม Ctrl+Alt+Del หรือปุ่มรีเซ็ท ไวรัสนี้ก็จะทำลายเซ็คเตอร์ซีโร่ซึ่งจะเป็นการทำลายฮาร์ดดิสก์อย่างถาวรทั้งนี้ ตามการรายงานของ CNN (www.cnn.com ) ถ้าคุณได้รับจดหมายหัวข้อ An Internet Flower For You อย่าเปิด แต่ให้ลบทิ้งทันทีไวรัสนี้จะทำลายข้อมูลเชื่อมโยง dynamic link libraries (ไฟล์ .dll )ทั้งหมด และ คุณจะ boot เครื่องไม่ได้
อาการโดยประมาณ1.โดน Blue Screen of death โดยไม่ทราบสาเหตุ2.เป็น Trojan ที่ดูธรรมดาๆเเต่ไม่ธรรมดาจริงๆ3.นามสกุลไฟล์ส่วนใหญ่จะเป็น .msi .tmp .dll .com .ini .sys 80 % ไม่ใช่ .exe นะครับ4.ลบไฟล์ boot.ini ทำให้บูตไม่ขึ้น5.สั่ง cpu run 100%6.ไฟล์ trojan เเบบนี้จะหายากมาก7.เเค่เข้าเว็บก็โดนเเล้ว8. browser อะไรก็เอาไม่อยู่9.download ไวรัส , spyware , adware , trojan10.ไม่สามารถลบ trojan นี้ได้ทุกๆกรณี11.ปิดการทำงาน safe mode ( บางตัว )12.ทำให้ hdd เกิด bad sector13.ทำการ format เครื่องเอง


ไวรัสร้ายตัวใหม่ ดูท่าแล้วน่าจะอันตรายมากเลยนะเนี่ย อย่างไรก็ตามเจออีเมลล์แปลกๆ ก็อย่าเพิ่งไว้ใจเปิดดูนะครับ ไม่งั้นโดนเข้าจะหาว่าไม่เตือนนะ แล้วไวรัสเหล่านี้ยังสามารถติดมาได้จากการเข้าเว็บไซต์ด้วยรายชื่อเวปอันตรายhttp://www.compgamer.com/forums/index.php?topic=17615.0ไปเจอมาเห็นว่ามีประโยชน์เลยเอามาฝากไวรัส TROJ_NIMDA.A เป็นไวรัสที่ร้ายแรงมากที่สุดตัวหนึ่งถ้าติดแล้วแทบจะหมดทางแก้ใขกันเลยที เดียว ไวรัสตัวนี้เพิ่งออกเมื่อวานนี้แต่เริ่มระบาดวันนี้ (19/9/2001)วิธีแก้และป้องกันไวรัส TROJ_NIMDA.A ครับ ตอนนี้ทางแก้มีแบบชั่วคราวครับคือแต่ไม่รับรองว่าจะแก้ได้หมดปรติแล้วถ้าติดตัวนี้ วิธีเดียวที่จะกำจัดมันคือ Fomat ใหม่ล้วนๆเน้นนะคะว่ไวรัสตัวนี้ร้ายแรงกว่า TROJ_SIRCAM.A เป็นไหนๆ เรียกได้ว่า TROJ_SIRCAM.A เทียบไม่ติดถ้ายังไม่ติดให้ไปโหลด ie ตัวใหม่ๆมาใช้ เช่น ie6 ie5.5 sp2 เป็นต้น ซึ่ง มีความปลอดภัยมากพอที่จะกันการทำงานของ ไวรัสดังกล่าวได้บ้าง(แต่ไม่ทั้งหมด)การติดมักจะมาเป็นแบบ file ที่แนบมา กับ mail ชื่อ Readme.exe หรือ mypic.exe หรือ อาจจะมาเป็น .com หรือ .wav ก้อได้ครับ ดังนั้นไม่ควรรันหรือรับ file ที่มีชื่อหรือนามสกุลดังกล่าวข้างต้นวิธีกำจัดไวรัสแบบ ลูกทุงสุดๆ(สไตร์คนไทย)1 หยุดไวรัสไม่ให้ทำงานซะก่อน โดยการหยุด sharing ต่างๆให้หมดซะก่อน(ถ้าคุณติดแล้ว)2.กด Ctr+Alt+Del ให้หยุดทุก process ทีเป็น .tmp3. เข้าไปแก้ไขไฟล์ SYSTEM.INI ที่บรรทัดที่ เป็นShell = explorer.exe load.exeให้เป็นShell = explorer.exe4. ทีนี้ให้ไปปรับโหมดการแสดงไฟล์ให้เป็น show all file นะครับ แล้ว ลบไฟล์ load.exe และ riched20.dll ในไดเร็คทอรี่ windows\system ครับ5.ลบไฟล์ winini.ini6.แสกนไวรัสด้วย แอนตี้ไวรัสที่อัพเดตล่าสุดแล้วลบทุกไฟล์ที่ติดเชื่อโดยชื่อTROJ_NIMDA.A.และทุกไฟล์ที่แสดงตัวเป็น worm7.Microsoft IE MIME เป็น tool ที่ไวรัสใช้ในการทำงาน ทางไมโครซอฟท์ได้แนะนำให้อัพเดตไออีเป็นเวอร์ ชั่น ใหม่ ตั้งแต่ 5.5 servicepack1 ขึ้นไป เพื่อเป็นการป้องกัน (เพราะตอนนี้เท่าที่ดูยังไม่มีใครรู้ทางแก้ไข)8.ถ้าเป็นวินโดว์สสองพันที่รัน IIS 5 อยู่ให้อัพเดตเป็น servicepack 2 ครับ และสามารถหาดาวน์โหลดได้ที่เว็บ http://www.thaitester.com9.สำหรับ windows 9X และ ME ต้องใช้ ie 5.5 servicepack2 ขึ้นไป สำหรับ windows 95 ถ้าลง เวอร์ชั่น 5.5ไม่ได้( ในบางเครื่อง)ให้ ลงเวอร์ชั่น 5.01 servicepack 1 แทน ก็จะพอป้องกันได้ครับ วิธีป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ใครที่ไม่อยากให้คอมพิวเตอร์โดนไวรัสเล่นงาน วันนี้มีวิธีป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาบอก…- ควรติดตั้งซอฟแวร์ป้องกันไวรัสที่เชื่อถือได้ และสามารถอัพเดทฐานข้อมูลไวรัสและเครื่องมือได้ตลอด เพราะจะทำให้สามารถดักจับและจัดการกับไวรัสตัวใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว- อย่าตั้งค่าให้โปรแกรมอีเมลเปิดไฟล์ที่แนบมาโดยอัตโนมัติ ควรจะต้องตรวจสอบก่อนดาวน์โหลดหรือเปิดไฟล์ขึ้นมา- สแกนไฟล์แนบท้ายของอีเมลทุกฉบับ หรือแม้แต่อีเมลจากคนรู้จัก- ตั้งค่าระบบป้องกันให้ทำงานทันทีที่เริ่มเปิดคอมพิวเตอร์ใช้งาน- อัพเดทซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ควรอัพเดททุกครั้งที่ออนไลน์ เพราะจะมีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน- อย่าดาวน์โหลดโปรแกรมจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจได้ไวรัสแถมมาด้วย แต่หากต้องการดาวน์โหลดจริง ๆ ก็ให้สร้างโฟลเดอร์เฉพาะไว้ต่างหาก และสแกนหาไวรัสก่อนเปิดใช้งาน- ควรสแกนแฟตไดร์ก่อนใช้งานทุกครั้ง เพราะแฟตไดร์เป็นพาหะในการนำข้อมูลจากพีซีเครื่องหนึ่งมาใส่ในอีกเครื่องรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้เครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัส ลองนำวิธีที่แนะนำไปป้องกันไวรัสกันดีกว่า…
วิธีการกำจัดและป้องกันไวรัสที่ร้ายแรง
- วิธีกำจัดไวรัส W32.Conficker.C หรือ W32.Downandup.C --ข้อมูลทั่วไปW32.Conficker.C หรือ W32.Downandup.C เป็นหนอนที่แพร่กระจายตัวเองโดยโจมตีผ่านช่องโหว่ Windows Server service (SVCHOST.EXE) ของระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์วินโดวส์ MS08-067 หรือในประกาศ CERT Advisory ที่ CA-2008-29 ซึ่งถ้าหากเครื่องดังกล่าวเปิดให้บริการการแชร์ไฟล์ไว้จะถูกหนอนชนิดนี้ฝัง ตัว หลังจากนั้นหนอนจะแพร่กระจายไปยังไดร์ฟต่างๆ รวมไปถึงการแชร์ไฟล์ของเครื่องอื่นๆ ที่ใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอของผู้ดูแลระบบ อีกทั้งยังหยุดการให้บริการของระบบ (System service) รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ด้านการรักษาความปลอดภัยต่างๆ (Security Products) อีกด้วย [1][2]หนอนชนิดนี้ยังมีความสามารถในการหยุดการเข้าถึงบางเว็บไซต์โดย เฉพาะเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมป้องกันไวรัส รวมทั้งเว็บไซต์ของ CERT ต่างๆ จากแหล่งข่าวด้านการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ทั่วโลกรวมไปถึงรายงานและผล การวิเคราะห์การทำงานของหนอนชนิดนี้จากหน่วยงานด้านการรักษาความปลอดภัย คอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของ FIRST และ APCERT (ซึ่งรวมถึงทีมงาน ThaiCERT ด้วย) พบว่าในวันที่ 1 เมษายน 2552 หนอนชนิดนี้จะสร้างรายชื่อโดเมนจำนวน 50,000 ชื่อ และทำการเชื่อมต่อไปยังโดเมนที่สร้างขึ้น โดยที่ชื่อโดเมนประกอบด้วยคำต่อท้ายต่างๆ (suffix) [2]วิธีการแพร่กระจายหนอนชนิดนี้สามารถแพร่กระจายโดยอาศัยการโจมตีผ่านช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์วินโดวส์ที่ MS08-067 ติดต่อผ่านไดร์ฟภายนอก (Removable Drive) ที่นำมาต่อ และการแชร์ไฟล์ที่ใช้รหัสผ่านที่อ่อนแอผลกระทบที่เกิดขึ้น* เครื่องอาจทำงานผิดพลาด : เนื่องจากหนอนชนิดนี้ทำการแก้ไขค่าในรีจิสทรี สร้างไฟล์ขึ้นมา รวมทั้งมีการยุติการทำงานบางเซอร์วิสของระบบปฏิบัติการและผลิตภัณฑ์การรักษา ความปลอดภัยด้วย* เปิดการเชื่อมต่อที่ผิดปกติ : หนอนชนิดนี้จะทำการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ ในวันที่ 1 เมษายน 2552 และเชื่อมต่อกับเครื่องอื่นที่เปิดให้บริการการแชร์ไฟล์* เปิดพอร์ตที่ผิดปกติ : เปิดพอร์ต 139/TCP และ 445/TCPรายละเอียดทางเทคนิคเมื่อหนอน W32.Conficker.C หรือ W32.Downandup.C ถูกเอ็กซิคิวต์ หนอนจะมีกระบวนการดังนี้วิธีกำจัดหนอนชนิดนี้* การกำจัดหนอนแบบอัตโนมัติ1. ดาวน์โหลดไฟล์ FixDwndp.exe จาก http://www.symantec.com/content/en/us/global/removal_tool/threat_writeups/FixDwndp.exe2. เลือกที่เก็บไฟล์ให้สะดวกต่อการเปิดใช้งาน เช่นเก็บไว้ที่ Desktop3. ปิดการทำงานทุกโปรแกรม4. ยกเลิกการเชื่อมต่อเครือข่ายทั้งหมด5. ถ้าเป็นระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ME และ XP ให้ทำการ Disable System Restore ก่อน ดังรายละเอียดเพิ่มเติมของ ME และ XP6. ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ FixDwndp.exe แล้วกดปุ่ม "Scan" และอนุญาตให้รันไฟล์ดังกล่าว7. รีสตาร์ทเครื่อง8. รันไฟล์ FixDwndp.exe อีกรอบ เพื่อยืนยันว่าหนอนได้ถูกกำจัดจากเครื่องแล้ว9. เมื่อกำจัดหนอนเรียบร้อยแล้ว ให้เชื่อมต่อเครือข่าย และปรับปรุงฐานข้อมูลของโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งอยู่10. เพื่อป้องกันไม่ให้หนอนชนิดนี้กลับมาทำอันตรายต่อระบบได้อีก ให้ทำการปรับปรุงโปรแกรมซ่อมแซมช่องโหว่ MS08-067 หรือในประกาศ CERT Advisory ที่ CA-2008-29วิธีป้องกันตัวเองจากหนอนชนิดนี้1. ติดตั้งโปรแกรมปรับปรุงช่องโหว่ (patch) ของระบบปฏิบัติการตามประกาศของไมโครซอฟท์หมายเลข MS08-0672. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส และต้องทำการปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสให้ทันสมัยอยู่เสมอ3. สแกนไฟล์ในไดร์ฟ USB ก่อนเปิดใช้งานทุกครั้ง4. ทำการสำรองข้อมูลในเครื่องอยู่เสมอ และเตรียมหาวิธีการแก้ไขเมื่อเกิดเหตุขัดข้องขึ้นโดย:katatummoที่่มา:www.thaicert.or.th


ลิงค์ อ้างอิงที่มาเกี่ยวกับไวรัส
http://www.metukyang.com/th/index.php?topic=140.0http://www.rmuti.ac.th/2009/news/?ni=001158

อุปกรณ์สำหรับการกำจัดไวรัส
ฮาร์ดแวร์ ได้แก่ แผงวงจรป้องกันไวรัส หรือที่เรียกกันโดยทั่วๆไปว่าการ์ดป้องกันไวรัส การใช้งานก็เพียงแต่ติดตั้งการ์ดนี้ลงในช่อง (Slot) บนเมนบอร์ดแล้วเปิดสวิตช์ บูตคอมพิวเตอร์ แผงวงจรดังกล่าวจะตรวจสอบและทำลายไวรัส ตามขั้นตอนที่ระบุมากับการ์ดป้องกันไวรัส การติดตั้งการ์ดนี้ไว้ตลอดเวลาก็สามารถป้องกันไวรัสได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าการทำงานของคอมพิวเตอร์จะช้าลงไปเนื่องจากการ์ดจะทำหน้าที่คอย ตรวจสอบการอ่าน- เขียน แฟ้มข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ทุกๆ ครั้งซอฟต์แวร์กำจัดไวรัส ซอฟต์แวร์กำจัดไวรัสนั้นมีผู้ผลิตหลายรายผลิตออกมามีทั้งชนิดที่กำจัด สามารถฆ่าไวรัสได้หลายๆ ตัว กับชนิดที่สามารถฆ่าไวรัสได้เพียงตัวเดียว โปรแกรมเหล่านี้ได้แก่ Mcafee Scan,PC-Cillin , MSAV, Norton Antivirus เป็นต้น

วิธีป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์
การป้องกันไวรัสการป้องกันไวรัสที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เลย คงเป็นไปไม่ได้ และก็ไม่ใช่วิธีที่ได้ประโยชน์สูงสุด มีบางองค์กร กำหนดว่าห้ามนำดิสก์เกตต์จากแหล่งอื่นเข้ามาใช้ในศูนย์คอมพิวเตอร์หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทางศูนย์ฯได้มีการจัดเตรียมแผ่นดิสก์ไว้ให้ผู้ที่มาใช้บริการคอมพิวเตอร์ ใช้งาน วิธีดังกล่าวสามารถป้องกันไวรัสได้บางส่วน หรือบางองค์กรอาจลงทุนซื้อการ์ดป้องกันไวรัสมาติดตั้งเข้ากับคอมพิวเตอร์ก็ ได้ หรืออบรมให้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เข้าใจว่าไวรัสก่อผลเสียหายให้กับ คอมพิวเตอร์อย่างไร พร้อมทั้งสอนวิธีการป้องกันให้ วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถป้องกันไวรัสได้ แต่ไม่ทั้งหมด บางครั้งด้วยความประมาทของผู้ใช้งานก็อาจทำให้ไวรัสลอบเข้ามาภายในเครื่อง โดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้สำหรับองค์กรใหญ่ที่ใช้ระบบเครือข่ายแล้วไวรัสอาจจะแพร่มาทาง คอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งภายในเครือข่ายก็ได้ รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์ในการต่อเชื่อมกับเครือข่าย ภายนอกประเภทอินเตอร์เน็ตและบีบีเอสต่างๆ โดยการดาวน์โหลด (Download)โปรแกรมมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ภายใน องค์กร ซึ่งอาจมีไวรัสมาพร้อมโปรแกรมได้เช่นกัน

วิธีการป้องกันไวรัส
การป้องกันไวรัสการป้องกันไวรัสที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เลย คงเป็นไปไม่ได้ และก็ไม่ใช่วิธีที่ได้ประโยชน์สูงสุด มีบางองค์กร กำหนดว่าห้ามนำดิสก์เกตต์จากแหล่งอื่นเข้ามาใช้ในศูนย์คอมพิวเตอร์หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทางศูนย์ฯได้มีการจัดเตรียมแผ่นดิสก์ไว้ให้ผู้ที่มาใช้บริการคอมพิวเตอร์ ใช้งาน วิธีดังกล่าวสามารถป้องกันไวรัสได้บางส่วน หรือบางองค์กรอาจลงทุนซื้อการ์ดป้องกันไวรัสมาติดตั้งเข้ากับคอมพิวเตอร์ก็ ได้ หรืออบรมให้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เข้าใจว่าไวรัสก่อผลเสียหายให้กับ คอมพิวเตอร์อย่างไร พร้อมทั้งสอนวิธีการป้องกันให้ วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้สามารถป้องกันไวรัสได้ แต่ไม่ทั้งหมด บางครั้งด้วยความประมาทของผู้ใช้งานก็อาจทำให้ไวรัสลอบเข้ามาภายในเครื่อง โดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้สำหรับองค์กรใหญ่ที่ใช้ระบบเครือข่ายแล้วไวรัสอาจจะแพร่มาทาง คอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งภายในเครือข่ายก็ได้ รวมไปถึงการใช้คอมพิวเตอร์ในการต่อเชื่อมกับเครือข่าย ภายนอกประเภทอินเตอร์เน็ตและบีบีเอสต่างๆ โดยการดาวน์โหลด (Download)โปรแกรมมาใช้งานกับคอมพิวเตอร์ภายใน องค์กร ซึ่งอาจมีไวรัสมาพร้อมโปรแกรมได้เช่นกัน

วิธีการตรวจสอบไวรัสคอมพิวเตอร์
การตรวจสอบไวรัสภายในคอมพิวเตอร์ขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์แล้วหากปรากฏว่ามีอาการแปลกๆ เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์ เช่น แฟ้มข้อมูลบางแฟ้มหายไปโดย ไร้ร่องรอย หรือบางครั้งแฟ้มที่ต้องการใช้งานมีอยู่ในฮาร์ดดิสก์ แต่เมื่อเรียกใช้งานแฟ้มดังกล่าวปรากฏว่ามีข้อความบนหน้าจอแจ้งกลับมาว่า ไม่พบแฟ้มดังกล่าวหรือแฟ้มดังกล่าวมีขนาดใหญ่เกินไป หรือขนาดเปลี่ยนแปลงไป ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจมีไวรัสชนิดใดชนิดหนึ่งภายในคอมพิวเตอร์และไวรัสชนิด นั้นกำลังทำงาน หรืออีกกรณีหนึ่งผู้ใช้งานกำหนดให้พิมพ์รายงานโดยใช้ Word Processor เมื่อสั่งพิมพ์จากเมนูพิมพ์แล้วปรากฏว่าแทนที่เอกสารจะถูกพิมพ์ออกทาง พรินเตอร์เหมือนทุกครั้งกลับไม่มีเอกสารพิมพ์ออกมา นอกจากนี้ยังมีข้อความแจ้งบนจอภาพว่าไม่มีเครื่องพิมพ์ต่อกับคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถพิมพ์เอกสารได้ ทั้งที่ได้ต่อเครื่องพิมพ์ ติดตั้งไดรเวอร์สำหรับเครื่องพิมพ์และการพิมพ์งานครั้งก่อนก็ทำได้ กรณีนี้การถูกไวรัสก็เป็นได้ การตรวจสอบไวรัสนั้น ทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้วิธีการตรวจสอบไวรัสภายในคอมพิวเตอร์ใช้ Scan Virus Application ที่ออกแบบมาสำหรับตรวจสอบและกำจัดไวรัสเพื่อตรวจสอบไวรัส ได้แก่ Mcafee Scan , PC-Cillin , MSAV, Norton Antivirus เป็นต้นใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีผู้ออกแบบสำหรับตรวจสอบไวรัส ได้แก่ การ์ด Anti Virus

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Bios อนันตญา วงศ์สุ่ย สบค.1/4 เลขที่ 2

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ BIOS





รู้จักกับ BIOS (Basic Input/Output System)
อุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ทุกชนิดที่เป็น ฮาร์ดแวร์ จะสามารถทำงานได้โดยต้องมี ซอฟท์แวร์ ประกอบด้วย สำหรับ BIOS (Basic Input/Out System) นี้จะเป็นที่เก็บ ซอฟท์แวร์ ขนาดเล็ก ๆ ไว้ในชิป ROM (เป็นแบบ EPROM : Erasable Programmable Read-Only Memory) เพื่อใช้สำหรับทำการบูทเครื่องคอมพิวเตอร์จากแผ่น floppy disks (FDD) หรือจาก hard disks (HDD) โดยที่ BIOS จะทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการ POST (Power-On Self Test) ก่อนที่จะเรียกใช้ ซอฟท์แวร์ ที่เป็น Operating System เช่น DOS หรือ Windows จาก FDD หรือ HDD เพื่อทำการเริ่มต้นเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถทำงานได้ต่อไป นอกจากนี้ BIOS ยังเป็นตัวกำหนดค่าต่าง ๆ ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะควบคุมการทำงานของ Keyboard, ควบคุมการทำงานของ Serial Port, Parallel Port, Video Card, Sound Card, HDD Controller และอื่น ๆ ในบางครั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ เมื่อมีอุปกรณ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้ามาหาก BIOS ไม่สามารถรู้จักและใช้งานได้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่บรรจุใน BIOS ให้รู้จักกับอุปกรณ์ใหม่ ๆ นั้นด้วยที่เรียกกันว่า Flash BIOS นั่นเอง สำหรับปัจจุบันนี้ BIOS จะเก็บไว้ใน EPROM ซึ่งเป็นหน่วยความจำชนิดหนึ่งที่ปกติจะใช้สำหรับอ่านได้อย่างเดียว (ส่วนใหญ่จะเป็นไอซีตัวสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่บนเมนบอร์ด) โดยที่เราสามารถทำการ ลบข้อมูลและโปรแกรมข้อมูล ลงไปใหม่ได้โดยใช้ซอฟท์แวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการ Flash BIOS นั้น ๆ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของ BIOS EPROM และเมนบอร์ดด้วยนะครับว่าสามารถ Flash ได้หรือเปล่าโดยวิธีการง่าย ๆ คือตรวจสอบจากเวปไซต์ของผู้ผลิดเมนบอร์ดนั้น ๆ (โดยส่วนใหญ่แล้ว เมนบอร์ดสำหรับ Pentium ขึ้นไปส่วนใหญ่จะทำการ Flash ได้แล้ว) โดยปกติแล้ว อุปกรณ์ต่าง ๆ จะมีการตั้งค่า Configuration ที่แตกต่างออกไปได้ ซึ่งค่าเหล่านี้จะถูก BIOS เก็บไว้ในส่วนของ CMOS RAM ประมาณ 64 Bytes ซึ่ง CMOS นี้จะต้องมีการจ่ายไฟเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาจาก แบตเตอรี่ เพื่อให้ค่าที่ตั้งไว้ไม่หาย ไปเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งในส่วนของ CMOS นี้จะเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้พลังงานน้อยมาก ดังนั้นจึงสามารถใช้งาน ได้นานโดยไม่ต้องคอยเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้อง ทำการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ให้เหมาะสมเช่น ค่าความเร็วของการอ่านข้อมูลจาก Memory การตั้ง Enabled หรือ Disabled อุปกรณ์ต่าง ๆ, ความเร็วของ PCI BUS, ชนิดของ Floppy Disk หรือ Hard Disk ที่ใช้งาน, อุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เช่น SCSI และอื่น ๆ อีกมากมายที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS ที่มีใช้งานอยู่ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 บริษัทคือของ AMI BIOS (American Mega trends Inc) และ AWARD (ปัจจุบันรวมเข้ากับ Phoenix Technologies, Ltd. แล้ว) นอกจากนี้ก็จะมี BIOS ที่เป็นของแบนด์เนมต่าง ๆ เช่น COMPAQ หรือ IBM ซึ่งจะมีหน้าตาและวิธีการตั้งค่าแตกต่างออกไปด้วยสรุปว่า BIOS มีความสำคัญมากในระบบคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มี BIOS เราก็ไม่สามารถเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
รูปแบบการรายงานความผิดพลาด หากในขั้นตอน POST นั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้น BIOS จะรายงานความผิดพลาดนั้นให้ทราบทางจอภาพ หรือหากข้อผิดพลาด นั้นเกิดจากจอภาพหรือการ์ดแสดงผล BIOS จะรายงานความผิดพลาดนั้นโดยส่งเสียง beep สั้น-ยาวต่างกันออกไปตามลักษณะของปัญหานั้นๆ ตารางแสดงถึงรายงานข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ในกรณีที่ภาคการแสดงผลยังใช้งานได้ (ใช้ได้กับ BIOS ของ AMI และ Award)
ข้อความ
ความหมาย
8024 Gate - A20 Error
คอนโทรลเลอร์ 8042 สำหรับคีบอร์ดเสีย
Cache Memory Bad, Do not Enable Cache!
หน่วยความจำแคชเสีย โดยสามารถเปิด การใช้งานได้จาก SETUP
CMOS BATTERY HAS FAILED
แบตเตอรี่ที่จ่ายไฟเลี้ยง CMOS หมด
CMOS Battery State Low
แบตเตอรี่ที่จ่ายไฟเลี้ยง CMOS หมด
CMOS CHECKSUM ERROR
ข้อมูลที่เก็บไว้ใน CMOS ไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเกิดจากแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมด ทำให้ไฟจ่ายได้ไม่ สม่ำเสมอ
CMOS Checksum Failure
ข้อมูลที่เก็บไว้ใน CMOS ไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเกิดจากแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมด ทำให้ไฟจ่ายได้ไม่ สม่ำเสมอ
CMOS System Options Not Set
ข้อมูลที่เก็บไว้ใน CMOS ไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ แล้วเกิดจากแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมด ทำให้ไฟจ่ายได้ไม่ สม่ำเสมอ
CMOS Memory Size Mismatch
BIOS พบว่าขนาดหน่วยความจำเปลี่ยนแปลงไป นับจากการเปิดเครื่องครั้งล่าสุด
CMOS Time and Date Not Set
RTC (Real Time Clock) เสีย
DISK BOOT FAILURE, INSERT SYSTEM DISK AND PRESS ENTER
BIOS ไม่พบดิสก์ที่กำหนดให้ใช้สำหรับบูต (boot) หรือ ดิสก์นั้นไม่ได้ติดตั้งระบบปฏิบัติการใดๆไว้
Diskette Boot Failure
BIOS ไม่พบดิสก์ที่กำหนดให้ใช้สำหรับบูต (boot) หรือ ดิสก์นั้นไม่ได้ติดตั้งระบบปฏิบัติการใดๆไว้
DISKETTE DRIVES OR TYPES MISMATCH ERROR-RUN SETUP
กำหนดชนิดของดิสก์ไดรฟ์ไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ติดตั้งไดรฟ์ชนิด 1.2 MB ไว้แต่กำหนดจาก SETUP ไว้เป็นชนิด 1.44MB เป็นต้น
DISPLAY SEUTCH IS STE INCORRECTLY
กำหนดฃนิดของการ์ดแสดงผลและจอภาพไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ติดตั้งการ์ดแสดงผลชนิด VGA ไว้แต่กำหนดไว้ใน SETUP (หรืดโดย jumper บนเมนบอร์ด) เป็นชนิด monochrome เป็นต้น
Display Switch Not Proper
กำหนดฃนิดของการ์ดแสดงผลและจอภาพไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ติดตั้งการ์ดแสดงผลชนิด VGA ไว้แต่กำหนดไว้ใน SETUP (หรืดโดย jumper บนเมนบอร์ด) เป็นชนิด monochrome เป็นต้น
DISPLAY TYPE HAS CHANGED SINCE LAST BOOT
BIOS พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงการ์ดแสดงผลนับจากการเปิดเครื่องครั้งล่าสุด




EISA Configuration Checksum Error PLEASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
ค่าที่กำหนดไว้สำหรับอุปกรณ์ EISA ไม่ถูกต้อง หรือมีปัญหา
EISA Configuration is Not Complete PLASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
ค่าที่กำหนดไว้สำหรับอุปกรณ์ EISA ไม่ถูกต้อง หรือมีปัญหา
ERROR ENCOUNTERED INTIALIZING HARD DRIVE
เริ่มการทำงานของฮาร์ดดิสก์ไม่ได้ อาจเกิดการตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุด-หลวม หรือฮาร์ดดิสก์นั้นเสียก็ได้
ERROR INTIALIZING HARD DTRIVE CONTROLLER
เริ่มการทำงานของคอนโทรลเลอร์สำหรับฮาร์ดดิสก์ไม่ได้ อาจเกิดจากการติดตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุดหลวม หรือคอนโทรลเลอร์นั้นเสียก็ได้
DMA Error000
คอนโทรลเลอร์ DMA (Direct Memory Access) เสีย
DMA #1 Error
เกิดข้อผิดพลาดขึ้นใน DMA channel 1
DMA #2 Error
เกิดข้อผิดพลาดขึ้นใน DMA channel 2
FDD Controller Failure
เริ่มการทำงานของคอนโทรลเลอร์สำหรับดิสก์ไดรฟ์ไม่ได้ อาจเกิดจากการติดตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุดหลวม หรือคอนโทรลเลอร์นั้นเสียก็ได้
FLOPPY DISK CNTRLR ERROR OR NO CNTRLR PRESENT
เริ่มการทำงานของคอนโทรลเลอร์สำหรับดิสก์ไดรฟ์ไม่ได้ อาจเกิดจากการติดตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุดหลวม หรือคอนโทรลเลอร์นั้นเสียก็ได้
HDD Controller Failure
เริ่มการทำงานของคอนโทรลเลอร์สำหรับดิสก์ไดรฟ์ไม่ได้ อาจเกิดจากการติดตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุดหลวม หรือคอนโทรลเลอร์นั้นเสียก็ได้
I/O Card Parity Error at xxx
Expansion card เสียหรือทำงานผิดพลาด ที่ตำแหน่ง xxx
Invalid EISA Configuration PLEASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
ค่าที่กำหนดไว้สำหรับอุปกรณ์ EISA ไม่ถูกต้องหรือมีปัญหา
KB/Interface Error
หัวต่อคีบอร์ดเสีย หรือหลุดหลวม
Keyboard Error
ไม่ได้ติดตั้งคีบอร์ดไว้ หรือคีบอร์ดเสีย
KEYBOARD ERROR OR NO KEYBOARD PRESENT
ไม่ได้ติดตั้งคีบอร์ดไว้ หรือคีบอร์ดเสีย
Memory Address Error at xxx
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
Memory Parity Error at xxx
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
MEMORY SIZE HAD CHANGED SINCE LAST BOOT
BIOS พบว่าขนาดหน่วยความจำเปลี่ยนแปลงไปนับจากการเปิดเครื่องครั้งล่าสุด (เกิดขึ้นเฉพาะในระบบที่ใช้อุปกรณ์แบบ EISA เท่านั้น)
Memory Verity Error at xxx
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
Parity Error xxx
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
PRESS A KEY TO REBOOT
เกิดข้อผิดพลาดบางประการขึ้น ซึ่งระบบพยายามแก้ปัญหาด้วยการบูตเครื่องใหม่


PRESS F1 TO DISABLE NMI, F2 TO REBOOT
ตรวจพบ NMI (Non Maskable Interrupt) หากกดคีย์ F1 จะยกเลิก NMI แล้วทำงานต่อตามปกติ หากกดคีย์ F2 BIOS จะบูตเครื่องใหม่และใช้งาน NMI นั้น (หากทำได้)
RAM PARITY ERROR - CHECKING FOR SEGMENT XXX
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
Should be Empty But EISA Board found PLEASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
เกิดขึ้นเมื่อเพิ่มอุปกรณ์ชนิด EISA ลงในระบบ
Should Have EISA Board But Not Found PLEASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
เกิดขึ้นเมื่อถอดอุปกรณ์ชนิด EISA ออกจากระบบ
Slot Not Empty
เกิดขึ้นเมื่อเพิ่มอุปกรณ์ชนิด EISA ลงในระบบ
SYSTEM HALTED, (CTRL-ALT-DEL) TO REBOOT
เกิดข้อผิดพลาดบางประการขึ้น ซึ่งระบบพยายามแก้ปัญหาด้วยการบูตเครื่องใหม่
Wrong Board In Slot
เกิดขึ้นเมื้อเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ชนิด EISA หรือเปลี่ยนช่องเสียบ
สัญญาณเสียงแสดงความผิดพลาด ตาราง รหัสเสียง beep ของ AMI BIOS
เสียง beep (ครั้ง)
ความหมาย
1
สิ้นสุดกระบวนการ POST
2
เกิดข้อผิดพลาดใดๆขึ้นระหว่างขั้นตอน POST
3
BIOS ของการ์ดแสดงผลไม่ทำงาน หรือการ์ดแสดงผลเสีย
4
DAC (Digital to Analog Converter) ไม่ทำงาน, หน่วยความจำบนการ์ดแสดงผลเสีย หรือไม่ได้ต่อจอภาพไว้
5
เริ่มต้นการทำงานภาคการแสดงผลส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไม่ได้
สัญญาณเสียงแสดงความผิดพลาดขึ้นกับ Main Board แต่ละรุ่น แต่สำหรับรหัสเสียงสัญญาณแสดงความผิดพลาดพื้นฐาน ได้แก่
จำนวนเสียงสัญญาณ
ตัวต้นเหตุของปัญหา
1 เสียงสั้น
Successful POST
2 เสียงสั้น
Initialization error, DMA, Floppy Disk Drive, Serial, Partial
1 เสียงยาว, 1 เสียงสั้น
Main Board
1 เสียงยาว, 2 เสียงสั้น
VGA or Video Memory
1 เสียงยาว, 3 เสียงสั้น
VGA card
ไม่มีเสียง
Power Supply, Main Board

หมายเหตุ : Main Board, Master Board, System Board มีความหมายอย่างเดียวกัน












ลักษณะและคำอธิบาย
1. โครงสร้างหลักๆ ของ BIOS นั้นมีส่วนประกอบหลักๆ อยู่สองอย่างคือ
ตัวโปรแกรมของไบออส จะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำแบบ ROM เพราะจำได้นานไม่มีลืมเหมือนกับ RAM ทำให้เราสามารถเรียกใช้ BIOS ได้ทันทีเมื่อเปิดเครื่อง แต่เราไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปใน ROM ได้
2. ส่วนตัวข้อมูลจะถูกเก็บไว้ที่ CMOS RAM เป็นหน่วยความจำชนิดหนึ่งที่สามารถเขียนไฟล์ทับได้ คล้ายกับ RAM แต่ต้องใช้ไฟเลี้ยง ถ้าไม่มีไฟ ระบบจะลืมข้อมูลทันที โดยไฟที่ว่านี้มาจากก้อนแบตเตอรี่เล็กติดอยู่บนเมนบอร์ด ถ้าแบตเตอรี่นี้หมด เครื่องก็จะมีปัญหา
หน้าที่และความสำคัญ
BIOS (Basic Input/Output System) คือ Chip ROM (EPROM : Erasable Programmable Read-Only Memory) Bios เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุม Hardware ในการ Boot คอมพิวเตอร์ โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนเครื่องอ่านข้อมูล ไม่ว่า Floppy Disk Drive , Hard Disk Drive และ Cd-Rom Drive โดยเฉพาะ Hard Disk เมื่อต่อเพิ่มหรือถอดออก จะต้องบอกให้ Bios รับรู้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ Boot เครื่อง เพื่อเข้าสู่โปรแกรม Windows หรือ OS ต่อไป
วิธีดูรุ่น biosStart --> Run พิมพ์ msinfo32.exe --> OK( ดูตรง BIOS Version/Date )
บางเครื่องเข้าไปที่Programs --> Accessories --> System Tools --> System Information


การเข้าโปรแกรม Bios
สำหรับวิธีการที่จะเข้าไปตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ได้นั้น จะขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละเครื่องด้วย โดยปกติเมื่อเราทำการเปิดสวิทช์ไฟของเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS ก็จะเริ่มทำงานโดยทำการทดสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนที่จะเรียกใช้งานระบบ DOS จากแผ่น Floppy Disk หรือ Hard Disk ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เราสามารถเข้าไปทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ได้โดยกด Key ต่าง ๆ เช่น DEL, ESC CTRL-ESC, CTRL-ALT-ESC ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละเครื่องจะตั้งไว้อย่างไร ส่วนใหญ่ จะมีข้อความบอกเช่น "Press DEL Key to Enter BIOS Setup" เป็นต้น
ปุ่ม Key ต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับการ Setup BIOS ส่วนใหญ่จะเป็นแบบเดียวกัน โดยจะมีรูปแบบทั่วไปดังนี้
Up, Down, Left, Right ใช้สำหรับเลื่อนเมนูตามต้องการ
Page Up, Page Down ใช้สำหรับเพิ่ม ลบ หรือเปลี่ยนแปลงค่าตามต้องการ
ESC Key ใช้สำหรับย้อนกลับไปเมนูแรกก่อนหน้านั้น
Enter Key ใช้สำหรับเลือกที่เมนูตามต้องการ
F1, F2 ถึง F10 ใช้สำหรับการทำรายการตามที่ระบุในเมนู BIOS Setup


เมื่อเปิดเครื่องแล้ว ให้กดปุ่ม Delete ไปเรื่อยๆ จนเข้าโปรแกรม Bios โดยบางรุ่นจะใช้ Ctrl+Esc จะขึ้นหน้าจอ ดังรูป











การปรับแต่งค่าต่างๆของ Bios ก่อนอื่นนั้นต้องมาดูหน้าที่หลักๆ ของไบออสกันก่อนนะครับ ไบออสนั้นจะเป็นส่วนเกี่ยวกับการเก็บค่า Configuration ของ อุปกรณ์ Input / Output ทั้งหลาย โดยจะเรียกใช้ค่านั้นทุกครั้งที่ทำการเปิดเครื่อง โดยหลังๆ มานี้ไบออสได้มีการพัฒนาไปมาก เมนบอร์ดในบางยี่ห้อ มีการรวมใส่ส่วนของ Utilities ในการปรับค่าต่างๆ เช่น การโอเวอร์คล๊อกผ่านไบออส เป็นต้น Standard CMOS Setup สำหรับในส่วนนี้จะไม่ค่อยมีค่าอะไรให้ปรับกันเท่าไหร่ โดยส่วนที่สำคัญคือในส่วนการตั้งค่าของอุปกรณ์ที่เป็น IDE ทั้งหลาย โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นฮาร์ดดิสแหละครับ ตรงนี้ผมแนะนำให้ตั้งแบบ Manual ไม่ต้องเซ็ทเป็น Auto เพราะจะทำให้เวลาในการบูต นานขึ้นครับ อีกอย่างหนึ่งพวก drive CD ก็เซ็ทเป็น None ก็ได้ครับ จะช่วยให้ผ่านขั้นตอนการ Post เร็วขึ้นเยอะ ( ยกเว้นคนที่ต้องการบูตเครื่องด้วย CDROM ให้เซ็ทเป็น Auto นะครับ) Bios Features Setup Virus Warning ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) ค่านี้นั้นจะเป็นการเซ็ทเพื่อให้ไบออสทำการเตือนเมื่อมีโปรแกรมใดๆ พยายามที่จะเขียนข้อมูลลงไปที่ Boot Sectors ของฮาร์ดดิส ซึ่งอาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ผมไม่แนะนำให้ใช้ครับ ลำพังโปรแกรม Anti Virus ที่เราลงไว้ในเครื่อง ก็สามารถปกป้อง Boot Sectors ได้ดีกว่า การตั้งค่านี้เป็นไหนๆ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อมีการเตือนขึ้นมา ส่วนใหญ่เครื่องจะแฮ้งไป Recommended Setting : Disable CPU L2 Cache ECC Checking ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะครับ ว่าเป็นการปรับในส่วนของ ECC ( Error Correction ) ของ L2 Cache ในตัว CPU ของเรา ในค่านี้นั้น ต้องเลือกเอาเองแล้วล่ะครับ ว่าจะเปิดหรือจะปิด เพราะว่าถ้าเปิดไว้นั้น จะช่วยให้เครื่องทำงานได้สเถียรมากขึ้น แต่ Performance นั้นอาจจะมีการดรอปลงไปนิดหน่อย ส่วนถ้าปิดไว้นั้น ความสเถียรก็จะลดลงล่ะครับ แต่ก็อาจจะช่วย ให้สามารถโอเวอร์คล๊อกในสปีดสูงขึ้นได้ Recommended Setting : Enable Quick Power On Self Test ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) ขั้นตอนการ POST หรือ Power On Self Test นั้น เป็นขั้นตอนตั้งแต่เราเปิดเครื่อง ผ่านการอ่านค่าต่างๆ ในไบออส มีการเช็คอุปกรณ์ต่างๆ เช่นหน่วยความจำ หรือ ฮาร์ดดิส ซึ่งตรงนี้นั้นถ้าเราปรับเป็น Quick Power On Self Test ขั้นตอนการ POST จะเร็วขึ้นมากครับ ซึ่งค่าตรงนี้เครื่องส่วนใหญ่จะ Enable มาอยู่แล้ว ก็เขียนมาให้ดูกันเฉยๆ ครับ Recommended Setting : Enable Boot Up Floppy Seek ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) ค่านี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ เป็นการควบคุมให้ไบออส เช็คหรือไม่เช็ค Floppy Drive ของเรา แนะนำว่าให้ปิดไว้จะดีกว่านะครับ บูตเร็วขึ้นนิดหน่อย และเปิดไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร Recommended Setting : Disable Video Bios Shadow ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) หากทำการเปิดค่านี้ จะทำให้ไบออสของการ์ดจอถูก Copy เข้าไปไว้ที่แรมของเครื่อง ซึ่งหากมีการอ่านนั้นก็จะไปอ่านที่แรม ของเครื่องแทนที่จะเข้าไปอ่านในไบออสของการ์ดจอ ประโยชน์ของค่านี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอดีตไปซะแล้วล่ะครับ เพราะ VGA Card ใหม่ๆ ในปัจจุบันนั้น จะบรรจุไบออสมาในรูปแบบ Flash Memory ( EEPROM ) ซึ่งการอ่านจาก Flash Memory นั้น มีความเร็วสูงกว่าการอ่านจากแรม ดังนั้นค่านี้ควรจะ Disable ไว้ดีกว่าครับ ไม่เปลืองแรมระบบ ส่วนค่าของการ Shadow ค่าอื่นๆ ก็ควรจะ Disable เอาไว้เช่นกันครับ Recommended Setting : Disable

Chipset Features Setup SDRAM CAS Latency Time ( ค่าที่ปรับได้ : 2 , 3 , Auto ) ในบางเมนบอร์ดอาจจะเรียกค่านี้ว่า SDRAM Cycle Length ก็เป็นค่าเดียวกันนะครับ ค่านี้เป็นค่า Delay ในการทำงานของแรม ซึ่งยิ่งเซ็ทค่าน้อยก็ยิ่งดีครับ แนะนำให้เซ็ทไว้ที่ 2 จะได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่า 3 ประมาณ 10-15% ส่วนถ้าเซ็ทเป็น Auto นั้น ไบออสจะทำการอ่านค่าจากชิบ SPD บนตัวแรมว่าเหมาะกับการใช้ที่ CAS ใดให้เอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น CAS3 แหละครับ ดังนั้นแนะนำว่าให้เซ็ทเองจะดีกว่า การเซ็ท CAS เป็น 2 นั้น แรมบางตัวอาจจะรับไม่ไหวนะครับ อาจจะเกิดการบูตไม่ขึ้น หรือเครื่องแฮ๊งเป็นระยะได้ Recommended Setting : 2 SDRAM Bank Interleave ( ค่าที่ปรับได้ : 2 ways , 4 ways , Disable ) ก่อนอื่นมาดูความหมาย และประโยชน์ของ Memory Bank Interleave กันก่อนนะครับ ค่า Interleave นี้จะไปแบ่งการทำงานของแรมออกเป็นบล๊อคๆ เช่นสมมุติว่าในการสั่งงานหรือมีข้อมูลเข้าไปที่แรมแต่ละครั้ง ผมจะเรียกแทนว่า word_0 , word_1 ,word_2, word_n ในกรณีที่เซ็ทแรมเป็น 4 Ways Bank Interleave นั้น ลำดับของข้อมูลจะถูกจัดเป็น Bank_0 : word_0, word_4,word_8..word_n+0 Bank_1 : word_1, word_5, word_9..word_n+1 Bank_2 : word_2, word_6, word_a..word_n+2 Bank_3 : word_3, word_7, word_b..word_n+3 จะเห็นนะครับ ว่าข้อมูลถูกหั่นเป็นส่วนๆ แล้วกระจายเข้าไปไว้ที่ Bank ต่างๆ ซึ่งประโยชน์ของการกระจายนี้คืออะไร มาดูกัน Bank แต่ละ Bank นั้นจะมี Control Line กันคนละชุด ซึ่งแยกกันสั่งงานและประมวลผล Bank ใคร Bank มัน เช่น ขณะที่ Bank0 มีการทำงานอยู่ แทนที่ Bank1 จะต้องรอ Bank0 ให้ทำงานเสร็จ Bank1 จะสามารถรับข้อมูลมารอแล้ว ก็ประมวลผลเอาไว้ก่อนได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับ Data Transfer เพราะในการประมวลผลนั้น อาจจะประมวลได้พร้อมๆ กันก็จริง แต่การโอนถ่ายข้อมูลออกมาจากแรมนั้น ยังต้องทำให้เสร็จๆ ไปทีละ Bank เหมือนเดิม
นั่นก็หมายถึงถ้าเราเซ็ทเป็น 4 Ways แล้ว แรมจะสามารถรับข้อมูลและประมวลผลไว้รอได้ถึง 4 Bank เมื่อ Bank แรกประมวลผลเสร็จ และส่งข้อมูลออกไป Bank ต่อไป ( ซึ่งมีข้อมูลที่ประมวลผลเอาไว้รอแล้ว ) จึงจะส่งตามกันไปเรื่อยๆ ซึ่งจะลดเวลาในการต้องรอประมวลผลได้ แล้วถ้าเราเซ็ทเป็น Disable ล่ะ แรมจะต้องรอกันเป็นทอดๆ คือเมื่อ Bank0 ประมวลผล และส่งข้อมูลเสร็จ แทนที่ Bank1 จะประมวลผลเอาไว้แล้ว เตรียมเพื่อจะส่งข้อมูลได้เลย แต่กลับต้องมารอ Bank1 ประมวลผลซะก่อน ( จะไม่มีการประมวลผลไว้ล่วงหน้า ) ซึ่งจะเห็นได้ว่าการรอกันเป็นทอดๆ นั้น เป็นการลดประสิทธิภาพของแรมลงอย่างเห็นได้ชัด Recommended Setting : 4 Ways

Fast R-W Turn Around ( ค่าที่ปรับได้ : Enable, Disable ) ค่านี้เป็น Option สำหรับการลดระยะเวลา Delay ระหว่างที่ CPU จะทำการสลับโหมดในการ Read และ Write ข้อมูล แนะว่าว่าเปิดไว้เป็น Enable ความเร็วจะเพิ่มมานิดหน่อย แต่แรมบางตัวอาจจะรับค่านี้ไม่ได้ ก็ลองปรับดูนะครับ Recommended Setting : Enable AGP Fast Write ( ค่าที่ปรับได้ : Enable, Disable ) Fast Write นั้นเป็นฟังค์ชั่นที่จะพบเห็นได้ใน VGA Card รุ่นใหม่ๆ เกือบทุกรุ่นนะครับ โดยหลักการของมันนั้น ผมก็ไม่ค่อย แน่ใจ ที่จำได้คร่าวๆ นั้น Fast Write จะทำให้ AGP สามารถติดต่อกับ CPU ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านหน่วยความจำ หรือส่วนอื่นๆ ( ไม่แน่ใจนะครับ ) แนะนำว่าให้ปรับเป็น Enable จะเร็วขึ้นนิดหน่อยครับ Recommended Setting : Enable ยังมีอีกหลายค่านะครับ บางค่าผมเองก็ยังไม่รู้ความหมาย แต่ก็เคยได้ยินมาว่าควรจะปรับยังไง ก็เอามาให้ดูกันนะครับ ใครจะลองปรับตามก็ได้ตามสบายครับ

Standard CMos Setup
E Date กำหนดวันที่
ETime กำหนดเวลา
EPrimary Master กำหนดฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ Boot Windows และลงโปรแกรม
EPrimary Slave กำหนดฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บข้อมูล
ESecondary Slave กำหนดฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บข้อมูล
ESecondary Master กำหนดฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บข้อมูล
EDrive A กำหนด Floppy Disk





Bios Feathers Setup



Boot Sequence กำหนดลำดับการ Boot เครื่อง ควรตั้งไว้ A: , C: เพื่อสามารถใช้การ Boot จากแผ่น Startup Disk ได้














IDE HDD Auto Detection
สำหรับค้นหาฮาร์ดดิสก์แบบอัตโนมัติ โดยจะค้นหา Primary Master , Primary Slave , Secondary Master , Secondary Slave ตามลำดับ โดยให้เราตอบ Y ในแต่ละขั้นตอนที่ต้องการ ถ้าในขั้นตอนนี้ไม่สามารถค้นหาฮาร์ดดิสก์ที่เราติดตั้งไว้ได้ ต้องตรวจสอบการต่อฮาร์ดดิสก์ให้ถูกต้องอีกครั้ง










Save & Setting Setup
แน่นอนเมื่อตั้งค่าต่างๆ ตามที่เราต้องการแล้ว ก็ต้อง Save ไว้ ให้ตอบ Y แล้ว Enter













Boot ใช้งานตามต้องการได้ต่อไป























การเซ็ต BIOS
BIOS (Basic Input/Output System) คือ Chip ROM (EPROM : Erasable Programmable Read-Only Memory) Bios เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมฮาร์ดแวร์ในการ Boot คอมพิวเตอร์ โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนเครื่องอ่านข้อมูล ไม่ว่า Floppy Disk Drive , Hard Disk Drive และ Cd-Rom Drive โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ เมื่อต่อเพิ่มหรือถอดออก จะต้องบอกให้ BIOS รับรู้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ Boot เครื่อง เพื่อเข้าสู่โปรแกรม Windows หรือ OS ต่อไป








BIOS (Basic Input/Output System), CMOS (Complementary Metal Oxide Semiconductor)
ขั้นตอนการทำงานของ BIOS
1.เมื่อเปิดเครื่อง BIOS จะตรวจสอบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้งาน เช่น คีย์บอร์ด , ดิสก์ไดรฟ์, จอภาพ, หน่วยความจำ ฯลฯ หากมีอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งทำงานไม่ถูกต้อง จะแจ้งข้อผิดพลาดให้ทราบทั้งในลักษณะข้อความ (หากจอภาพทำงานได้) และเสียง beep หากจอภาพทำงานไม่ได้
2.โหลดค่ากำหนดเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาใช้งาน โดยค่าต่างๆ เหล่านี้จะถูกเก็บไว้ใน CMOS ซึ่งผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยผ่าน SETUP
3.โหลดระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งไว้ในดิสก์ขึ้นมาทำงาน
4.เมื่อระบบปฏิบัติการเริ่มทำงาน นั่นคือคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว ส่วน BIOS จะทำหน้าที่ให้บริการต่างๆ ต่อระบบปฏิบัติการอยู่เบื้องหลัง เช่น การอ่าน-เขียน ข้อมูลจากดิสก์, เปิดจอภาพเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานๆ ฯลฯ
5.เมื่อต้องการปิดเครื่อง BIOS จะปิดการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมดรวมถึงตัดกระแสไฟที่จ่ายให้ power supply ด้วย ค่ากำหนดต่างๆ ที่เก็บไว้ใน CMOS จะไม่หายไป เมื่อผู้ใช้เปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ การทำงานจะวนรอบกลับไปยังขั้นตอนที่ 1 ทันที ดังจะเห็นได้ว่าการทำงานของ BIOS มีผลต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา หาก BIOS ได้รับการปรับตั้งไม่ถูกต้อง หรือปรับตั้งไว้ไม่ดี จะทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นทำงานได้ไม่ถูกต้อง, ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือแม้แต่ใช้งานไม่ได้เลยก็เป็นได้


POST ขั้นตอนสำคัญของการเริ่มต้นระบบ

เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS จะเข้าสู่ขั้นตอนที่เรียกว่า POST (Power-On Self Test) ซึ่งเป็นการตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเอง สาเหตุที่ต้องตรวจสอบก่อนก็เพราะคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีอุปกรณ์ไม่เหมือนกัน อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เหล่านี้ได้โดยอิสระอีกด้วย ดังนั้นย่อมเป็นการดีที่จะมาตรวจสอบกันก่อนเริ่มต้นทำงาน ในกรณีที่เจอข้อผิดพลาดก็ยังสามารถรายงานให้ผู้ใช้ทราบ และแก้ไขได้อย่างถูกต้อง


4 ขั้นตอนการทำงานของ POST

ใน BIOS ใดๆ แม้จะต่างยี่ห้อ ต่างบริษัทกัน โดยส่วนใหญ่จะมีขั้นตอน POST ที่คล้ายๆ กัน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.แสดงข้อความเริ่มต้นของการ์ดแสดงผล ซึ่งปกติจะขึ้นอยู่กับชนิดของการ์ดแสดงผลที่ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์นั้นๆ โดยอาจแสดงชื่อบริษัท-โลโก้ของผู้ผลิต, ชื่อรุ่น, ขนาดของหน่วยความจำ ฯลฯ หรือในบางรุ่นอาจไม่แสดงข้อความใดๆ ในขั้นตอนนี้เลยก็ได้
2.แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ BIOS รวมถึงหมายเลขอ้างอิงสำหรับผู้ผลิตเมนบอร์ดและข้อความอื่นๆ จากภาพที่ 2-2 เป็น BIOS ของ Award บนเมนบอร์ดซึ่งใช้ชิปเซ็ต Intel 430HX
3.ตรวจสอบและนับจำนวนหน่วยความจำ รวมทั้งเริ่มการทำงานของอุปกรณ์ประเภทดิสก์ไดรฟ์
4.เมื่อสิ้นสุดการทำงานของ POST แล้ว บนหน้าจอจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์พื้นฐานทั้งหมด จากนั้นจึงโหลดระบบปฏิบัติการจากดิสก์ที่กำหนด (ผ่านทาง SETUP ) มาทำงานต่อไป
ข้อแนะนำ
BIOS ที่มีใช้งานอยู่ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 บริษัทคือของ AMI BIOS (American Megatrends Inc) และ AWARD (ปัจจุบันรวมเข้ากับ Phoenix Technologies, Ltd. แล้ว) นอกจากนี้ก็จะมี BIOS ที่เป็นของแบนด์เนมต่าง ๆ เช่น COMPAQ หรือ IBM ซึ่งจะมีหน้าตาและวิธีการตั้งค่าแตกต่างออกไปด้วย
EWeb link บริษัท AMI BIOS
EWeb link บรัษัท Phoenix


ตัวอย่างหน้าจอ Bios Setup ของ Award และ Ami

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ระบบวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์

1. วิวัฒนาการ ของระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า โอเอส (Operating System : OS) เป็นซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ดอส วินโดวส์ ยูนิกซ์ ลีนุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น
1) ดอส (Disk Operating System : DOS) เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีต ปัจจุบันระบบปฏิบัติการดอสนั้นมีการใช้งานน้อยมาก
2) วินโดวส์ (Windows) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส โดยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้จากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นอักขระเพียงอย่างเดียวนอกจากนี้ระบบปฏิบัติการ วินโดวส์ยังสามารถทำงานหลายงานพร้อมกันได้ ดยงานแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟิก ผู้ใช้งานสามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฏบนจอภาพ ทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่าย ะบบปฏิบัติการวินโดวส์จึงได้รับ ความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
3) ยูนิกซ์ (Unix) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน ยูนิกซ์ยังถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้ (multiusers) และสามารถทำงานได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่า ระบบหลายภารกิจ (multitasking) ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็น เครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกันหลายๆ เครื่องพร้อมกัน
4) ลีนุกซ์ (linux) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบยูนิกซ์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่ายโปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในกลุ่มของกะนู ( Gun’s Not Unix : GNU) และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี (freeware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ระบบลีนุกซ์ สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูล เช่น อินเทล (PC Intel) เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices : AMD) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนพีซีได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์กันมากขึ้น
5) แมคอินทอช (macintosh) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช ส่วนมากนำไปใช้งานด้านกราฟิก ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ

นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมาก เช่นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์ นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา
ในการพัฒนาซอฟต์แวร์จำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีหลายภาษา ภาษาระดับสูงเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้ ตลอดจนถึงสามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ในภายหลังได้ภาษาระดับสูงที่พัฒ นาขึ้นมาทุกภาษาจะต้องมีตัวแปลภาษาสำหรับแปลภาษา ภาษาระดับสูงซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมกันมากในปัจจุบัน เช่น ภาษาปาสคาล ภาษาเบสิก ภาษาซี ภาษาโลโก และภาษาจาวา เป็นต้น
1) ภาษาปาสคาล เป็นภาษาสั่งงานคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแบบเป็นโครงสร้าง เขียนสั่งงานคอมพิวเตอร์เป็นกระบวนความ ผู้เขียนสามารถแบ่งแยกงานออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วมารวมกันเป็นโปรแกรมขนาดใหญ่ได้
2) ภาษาเบสิก เป็นภาษาที่มีรูปแบบคำสั่งไม่ยุ่งยาก สามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย มีรูปแบบคำสั่งพื้นฐานที่สามารถนำมาเขียนเรียงต่อกันเป็นโปรแกรมได้
3) ภาษาซี เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์อื่นๆ ภาษาซีเป็นภาษาที่มีความคล่องตัวสำหรับการเขียนโปรแกรมหรือให้คอมพิวเตอร์ติดต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ
4) ภาษาโลโก เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับการเรียนรู้และเข้าใจหลักการโปรแกรม ภาษาโลโกได้พัฒนาสำหรับการเรียนรู้ของเด็ก
5) ภาษาจาวา เป็นภาษาที่นิยมใช้ในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ในปัจจุบัน เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการใดก็ได้และเป็นรูปแบบของการพัฒนาภาษาเชิงวัตถุ ที่สามารถนำโปรแกรมเดิมมาใช้ใหม่ได้
นอกจากภาษาที่กล่าวถึงแล้ว ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมากมายหลายภาษา เช่น ภาษาโปรลอก โคบอล และ ฟอร์แทรน เป็นต้น
2. ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ Dos, Windows, Linux, Unix
ระบบปฏิบัติการ Dosเมื่อมีการใช้เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์กันอย่างจริงจัง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ต่างก็มีโปรแกรม จัดการระบบหรือ OS ของตนเอง ซึ่งโปรแกรมนี้อาจจะบรรจุอยู่ในคอมพิวเตอร์ หรือนำมาบรรจุจากแผ่นดิสก์ โปรแกรมนี้มีหน้าที่ที่จะสั่งให้จอภาพ แป้นพิมพ์ และเครื่องขับดิสก์ ( Disk Drive) ทำงานจัดการเกี่ยวกับไฟล์ เช่น บรรจุ บันทึก และให้ทำงาน ซึ่งถ้าไม่มีโปรเแกรมนี้แล้วคอมพิวเตอร์จะทำงานอะไรไม่ได้เลยการที่มีโปรแกรมจัดระบบที่ต่างกันเป็นผลทำให้คอมพิวเตอร์ต่างยี่ห้อกันใช้งานโปรแกรมเดียวกันไม่ได้เลย เรียกว่าของใครของมัน ค.ศ. 1973 แกรี่ คิลดัล ( Gary Kildall )ได้เขียนระบบปฏิบัติการ CP/M ซึ่งย่อมาจาก Control Program for Microprocessor เป็นรากฐานของดอส ที่ใช้กับเครื่อง 8 บิต (*เทคโนโลยีของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีการประมวลผลข้อมูลทีละ 8 บิต) ในสมัยก่อน แต่ปัจจุบัน CP/M ไม่มีใช้กันแล้วบนเครื่องพีซี ในปี ค.ศ. 1981คอมพิวเตอร์ซึ่งผลิตโดยบริษัท IBM ชื่อ IBM PC เข้ามาสู่ตลาด และได้สร้างโอเอสตัวใหม่ซึ่งเขียนโดยบริษัทไมโครซอฟท์ ใช้ชื่อว่า PC DOS เวอร์ชั่นที่ 1 (Version 1) ต่อมามีผู้ผลิตดอสตัวใหม่ที่มีชื่อว่า MS DOS ซึ่งผลิตโดยบริษัทไมโครซอฟท์ ู่ ปัจจุบันที่ยังเป็นที่รู้จักได้แก่MS-DOS เป็นระบบปฏิบัติการบนเครื่องพีซี จากบริษัทไมโครซอฟต์ สามารถใช้งานกับเครื่อง 16 บิต (เทคโนโลยีของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีการประมวลผลข้อมูลทีละ 16 บิต) ขึ้นไป โดย "MS" ย่อมาจาก Microsoft PC-DOS เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นมาโดยความร่วมมือระหว่างบริษัทไมโครซอฟต์และไอบีเอ็มเพื่อให้สามารถใช้กับเครื่องไอบีเอ็มโดยเฉพาะ โดย "PC" ย่อมาจาก "Personal Computer "Novell's DOS เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นมาให้มีความสามารถทางด้านเครือข่าย ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก DR-DOS ที่สร้างโดยบริษัท Digital Researchต่อมาได้มีการปรับปรุงโปรแกรมและได้ออกเป็นเวอร์ชั่น 1.1 และ 1.25 ตามลำดับ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1983 ได้ออกเวอร์ชั่น 2.0 ซึ่งเป็นฉบับที่ปรับปรุงครั้งใหญ่ Dos มาจากคำว่า Disk Operating Systemหมายถึงระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานประสานกัน เช่น การรับคำสั่งจากแป้นพิมพ์ การจัดเก็บข้อมูลลงดีสก์ การสำเนาไฟล์ การเปลี่ยนชื่อไฟล์ การจัดการเกี่ยวกับไฟล์ และอื่นๆในดอสประกอบด้วยไฟล์ต่างๆ จำนวนมากเราแบ่งไฟล์ออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ไฟล์ประเภทโปรแกรม
2. ไฟล์ประเภทข้อความ
ส่วนประกอบของโปรแกรมระบบปฏิบัติการ Ms-Dos Ms-Dos เป็นโปรแกรมระบบปฏิบัติการที่มีขนาดเล็กสามารถเก็บไว้ในแผ่นดีสก์เพียงแผ่นเดียว เมื่อเปิดเครื่องเพียงใส่แผ่นดีสก์ ซึ่งเรียกว่าแผ่น บูต (ฺBoot) ในดีสก์ไดรฟ์ (Disk Drive) โปรแกรม ซึ่งประกอบด้วย
1. IO.SYS เป็นโปรแกรมระบบซึ่งควบคุมการทำงานของหน่วย Input/Output
2. MSDOS.SYS เป็นโปรกแรมระบบที่ใช้ในการเข้าถึงโปรแกรมย่อยของดอสเพื่อนำ ข้อมูลต่างๆ ไปประมวลผลต่อไป
3. COMMAND.COM เป็นโปรแกรมระบบที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับคำสั่งจากผู้ใช้ และจาก หน่วย Input ภายใน COMMAND.COM นี้จะบรรจุคำสั่งต่างๆ ของระบบปฏิบัติการ Dos
การบูทเครื่องคอมพิวเตอร์มีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี
1. Cold Boot คือการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยสวิตซ์เปิดเครื่อง (Power)
2. Worm Boot คือจะใช้วิธีในขณะที่เปิดเครื่องอยู่ ในกรณีที่เครื่องค้างไม่ทำงานตามที่เรา ป้อนคำสั่งไป
การบูทเครื่องแบบนี้สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
1. กดปุ่ม Reset
2. กดปุ่ม Ctrl+Alt+Del พร้อมกันแล้วปล่อยมือ
คำสั่ง Dos มีอยู่ 2 ชนิดคือ
1. คำสั่งภายใน (Internal Command) เป็นคำสั่งที่เรียกใช้ได้ทันที่ตลอดเวลาที่เครื่องเปิดใช้งานอยู่ เพราะคำสั่งประเภทนี้ถูกบรรจุในหน่วยความจำหลัก (Rom) ตลอดเวลา หลังจากที่ boot Dos ส่วนมากจะเป็นคำสั่งที่ใช้อยู่เสมอ เช่น CLS,DIR,COPY,REN เป็นต้น
2. คำสั่งภายนอก (External Command) เป็นคำสั่งที่ถูกเก็บไว้ในดีสก์หรือแผ่น Dos คำสั่งเหล่านี้ จะไม่ถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำ เมื่อต้องการใช้คำสั่งคอมพิวเตอร์จะเรียกคำสั่งเข้าสู่หน่วยความจำ ถ้าแผ่นดีสก์หรือฮาร์ดดีสก์ไม่มีคำสั่งที่ต้องการใช้อยู่ก็ไม่สามารถเรียกคำสั่งนั้นๆได้ เช่น FORTMAT,DISKCOPY,TREE,DELETE เป็นต้น
ระบบปฏิบัติการ Windows 95
Windows 95 เป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทไมโครซอฟ เป็นโปรแกรมที่ควบคุมระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ซึ่งได้พัฒนามาจากระบบ Windows 3.11 ด้วยประสิทธิภาพที่มีสูงกว่าระบบเดิมทำให้ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันและยังได้มีการพัฒนามาจนเป็น Windows 98 ที่เป็นที่รู้จักกัน คุณสมบัติในการจัดเก็บงานต่าง ๆ และเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานรวมไปถึงการใช้รูปภาพแทนคำสั่งและความสามารถในการรันโปรแกรมหลาย ๆ ตัวในเวลาเดียวกันจึงทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows เป็นที่นิยมคุณสมบัติของเครื่องที่สามารถติดตั้ง Windows 95 ได้
o เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่น 80486 ขึ้นไป
o จอภาพสีชนิด VGA หรือ Super VGA
o Hard Disk ความจุอย่างน้อย 420 MBo RAM ความจุอย่างน้อย 8 MB
การติดตั้ง Windows 95 สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกันอาจติดตั้งโดยใช้ CD-ROM หรือ ใช้แผ่น Disk ก็ได้เราอาจแยกวิธีการติดตั้งออกเป็น 2 กรณี
1. การติดตั้ง Windows 95 กรณีเครื่องไม่มีระบบปฏิบัติการใดเลย
2. การติดตั้ง Windows 95 กรณีที่มีระบบปฏิบัติการ Windows 3.11 อยู่แล้ว
ข้อแนะนำในการติดตั้งในการติดตั้ง Windows 95 เราจะต้องมีเนื้อที่อย่างน้อย 100 MB สำหรับติดตั้งโปรแกรมและควรตรวจสอบว่าเครื่องนั้นสามารถติดตั้งได้หรือไม่ และนอกจากนั้นยังต้องเตรียมแผ่น Dos ต้นฉบับ 4 แผ่น และ Driver CD-ROM ในการติดตั้งควร Copy โปรแกรมที่ติดตั้ง Windows ไว้ใน Hard Disk แล้วจึงทำการติดตั้ง โปรแกรม
ระบบปฏิบัติการ Linux
ลีนุกซ์ระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิต ที่เป็นยูนิกซ์โคลน สำหรับเครื่องพีซี และแจกจ่ายให้ใช้ฟรี สนับสนุนการใช้งานแบบหลากงาน หลายผู้ใช้ (MultiUser-MultiTasking) มีระบบ X วินโดวส์ ซึ่งเป็นระบบการติดต่อผู้ใช้แบบกราฟฟิก ที่ไม่ขึ้นกับโอเอสหรือฮาร์ดแวร์ใดๆ (มักใช้กันมากในระบบยูนิกซ์) และมาตรฐานการสื่อสาร TCP/IP ที่ใช้เป็นมาตรฐานการสื่อสารในอินเทอร์เนตมาให้ในตัว ลีนุกซ์มีความเข้ากันได้ (compatible) กับ มาตรฐาน POSIX ซึ่งเป็นมาตรฐานอินเทอร์เฟสที่ระบบยูนิกซ์ส่วนใหญ่จะต้องมีและมีรูปแบบบางส่วนที่คล้ายกับระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จากค่าย Berkeley และ System V โดยความหมายทางเทคนิคแล้วลีนุกซ์ เป็นเพียงเคอร์เนล (kernel) ของระบบปฏิบัติการ ซึ่งจะทำหน้าที่ในด้านของการจัดสรรและบริหารโพรเซสงาน การจัดการไฟล์และอุปกรณ์ I/O ต่างๆ แต่ผู้ใช้ทั่วๆไปจะรู้จักลีนุกซ์ผ่านทางแอพพลิเคชั่นและระบบอินเทอร์เฟสที่เขาเหล่านั้นเห็น (เช่น Shell หรือ X วินโดวส์) ถ้าคุณรันลีนุกซ์บนเครื่อง 386 หรือ 486 ของคุณ มันจะเปลี่ยนพีซีของคุณให้กลายเป็นยูนิกซ์เวอร์กสเตชันที่มีความสามารถสูง เคยมีผู้เทียบประสิทธิภาพระหว่างลีนุกซ์บนเครื่องเพนเทียม และเครื่องเวอร์กสเตชันของซันในระดับกลาง และได้ผลออกมาว่าให้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกัน และนอกจากแพลตฟอร์มอินเทลแล้ว ปัจจุบันลีนุกซ์ยังได้ทำการพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์มอื่นๆด้วย เช่น DEC Alpha , Motorolla Power-PC , MIPS เมื่อคุณสร้างแอพพลิเคชันขึ้นมาบนแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งแล้ว คุณก็สามารถย้ายแอพพลิเคชันของคุณไปวิ่งบนแพลตฟอร์มอื่นได้ไม่ยาก ลีนุกซ์มีทีมพัฒนาโปรแกรมที่ต่อเนื่อง ไม่จำกัดจำนวนของอาสาสมัครผู้ร่วมงาน และส่วนใหญ่จะติดต่อกันผ่านทางอินเทอร์เนต เพราะที่อยู่อาศัยจริงๆของแต่ละคนอาจจะอยู่ไกลคนละซีกโลกก็ได้ และมีแผนงานการพัฒนาในระยะยาว ทำให้เรามั่นใจได้ว่า ลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่มีอนาคต และจะยังคงพัฒนาต่อไปได้ตราบนานเท่านาน
ระบบปฏิบัติการ Unix
ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX) คืออะไร? "ยูนิกซ์" (UNIX) เป็นระบบปฏิบัติการ หรือเรียกว่า "OS" (Operating System) ซึ่งใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ ไมโครคอมพิวเตอร์(Micro Computer) จนถึงระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer) แรกเริ่มระบบปฏิบัติการยูนิกซ ์(UNIX) ได้ถูกออกแบบโดยห้องปฏิบัติการ AT&T's Bell Lab ในปี ค.ศ.1969 ปัจจุบันยูนิกซ์ได้รับความนิยมมากเนื่องจากสามารถให้บริการผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกัน (Multiprocessing) โดยที่ผู้ใช้แต่ละคนต่างก็ทำงานได้หลายๆ งานพร้อมๆกัน (Multitasking) อีกด้วยและผู้ใช้สามารถสร้าง เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งต่างๆได้เอง (flexible)
ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ มีหลายเวอร์ชันด้วยกัน โดยแบ่งเป็น
- เวอร์ชันต้นแบบจากบริษัท AT&T ซึ่งเรียกว่า System V
- เวอร์ชันที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิรก์เลย์ ชื่อ BSD
- เวอร์ชันที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ เช่น AIX โดยบริษัท IBM AUX โดยบริษัท Apple IRIS โดย บริษัท Silicon Graphic Linux เป็น Freeware OSF/I โดย บริษัท DEC SCO UNIX โดย บริษัท SCO SunOS โดย บริษัท SUN Microsystem ULTRIX โดย บริษัท DEC
ระบบปฏิบัติการยูนิกส์สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ส่วนที่สำคัญ คือ
1.Kernel คือ โปรแกรมส่วนที่เป็นหัวใจหลักในการทำงานของระบบ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานภายในทั้งหมดของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น เตรียมทรัพยากรของระบบและจัดสรรทรัพยากรของระบบให้แก่ผู้ใช้ จัดเก็บข้อมูล บริหารหน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพ ควบคุมอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ในและนอกตัวเครื่องทั้งหมด Kernel เป็นส่วนที่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่อง ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามเครื่องที่มีรุ่นต่างกัน
2.File System คือ ส่วนที่ใช้จัดเก็บข้อมูล ซึ่งมักจะเป็น Hard Disk ข้อมูลจะถูกจัดเก็บเป็นกลุ่มในรูปของแฟ้มข้อมูล แฟ้มข้อมูลหลายๆ แฟ้มที่มีความสัมพันธ์กันจะถูกรวบรวมอยู่ใน directories เดียวกันและ directories เองก็ยังสามารถเก็บ directories ย่อยๆ ได้ด้วย เราเรียก directories ย่อยๆ นั้นว่า "sub-directories" เมื่อพิจารณาจากการจัดเก็บแบบนี้กล่าวได้ว่า โครงสร้างของ UNIX File System เป็นแบบต้นไม้หัวกลับ (Inversed-Tree Structure, Reversed-Tree Structure, Hierarchical Structure) UNIX ยังสามารถเรียกใช้อุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมือนกับการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลและเรียกแฟ้มข้อมูลชนิดนี้ว่า "แฟ้มข้อมูลพิเศษ" (Special files หรือ Device files)
3.Shell หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น "Command Interpreter" คอยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับตัว Kernel จะคอยรับคำสั่งที่ผู้ใช้ใส่เข้าไปทางแป้นพิมพ์ แล้วทำการแปลความหมายของคำสั่งที่รับเข้ามาก่อนจะส่งให้ Utility ทำงาน นอกจากจะทำหน้าที่นี้แล้ว ยังสามารถนำมาเขียนเป็นโปรแกรมได้ มีการใช้ตัวแปร การตัดสินใจ โดยโปรแกรมที่เขียนขึ้นมานี้ เราจะเรียกว่า Shell Script นอกจากนี้ Shell ยังทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องกำหนดทิศทางการเข้าออกของ Input/Output อีกด้วย
4.Utilities ได้แก่ คำสั่งต่างๆ ที่ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเรียกใช้งานได้ เนื่องจาก UNIX ได้แยกเอาหน้าที่ที่จำเป็นไว้ในตัว Kernel ซึ่งมีผลให้ Kernel มีขนาดเล็กและเพื่อชดเชยความสามารถของ Kermel จึงได้มีการสร้าง Utilities หรือคำสั่ง เพื่อให้ผู้ใช้ทำงานได้สะดวกขึ้น
3. OS ที่ใช้งานคนเดียวหรือมกกว่า 1 คน
การสร้าง account ผู้ใช้งานใหม่ (ในกรณีที่ใช้งานบนเครื่องเดียวกันมากกว่า 1 คน)
ตามปรกติแล้วแต่ละเครื่องจะมี Account ผู้ใช้งานประจำเครื่องอย่างน้อย 1 account เสมอครับ (เหมือนกับบน windows) ถ้าเป็นเครื่องส่วนตัวเราจะไม่ค่อยได้มาตรงส่วนนี้เท่าไหร่ ถ้าเราใช้งานคนเดียวบนเครื่อง account เราก็จะเป็นชื่อของเรา และได้สิทธิ์เป็น admin ให้จัดการทรัพยากรของเครื่องได้ทั้งหมด
โดยเครื่องที่มีมากกว่า 1 account นั้น ปรกติค่า setting ต่าง ๆ ของแต่ละ account จะแยกจากกันได้โดยอิสระ เช่น
-โปรแกรมต่าง ๆ
-ขนาด font ข้อความ
-ภาพพื้นหลัง desktop
-รวมไปถึง setting เฉพาะกิจต่าง ๆ ตามแต่ผู้ใช้งานแต่ละคนจะเลือกตั้งเอาไว้ (พูดให้ง่ายคือ ของใครของมันครับ ไม่เกี่ยวกัน)
เครื่องที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 คนขึ้นไป ผู้ที่เป็นเจ้าของเครื่อง หรือ ผู้ใช้งานระดับ admin สามารถสร้าง account ใหม่ขึ้นมาให้กับผู้ใช้แต่ละคนได้ ซึ่งการทำแบบนี้มีข้อดีคือ
1. ช่วยให้บริหาร file / folder ภายในเครื่องสะดวกขึ้น เช่น ป้องกันการเข้าถึงไฟล์ที่เจ้าของเครื่อง/admin ไม่ต้องการให้ผู้ใช้งานคนอื่นบนเครื่องเข้าถึง หรือใช้งานไฟล์นั้น ๆได้ เพราะเอกสารของแต่ละ account จะแยกจากกัน ยกเว้นบาง folder เช่น public folder / shared folder ที่จะมองเห็นร่วมกันเท่านั้น (หรือจะกำหนดสิทธิ์พิเศษให้มองเห็น folder ต่าง ๆ เป็นกรณีไปก็ทำได้)
2. ป้องกันความเสียหายจาก user อื่นไม่ให้มาซนกับไฟล์ของ admin หรือไฟล์ของระบบ
3. admin สามารถจำกัดสิทธิ์การใช้งานของ user อื่น ๆ บนเครื่องได้ เช่น ผู้ปกครองสามารถสร้าง account ให้บุตรหลานใช้งานบนเครื่องเดียวกัน แล้วยังกำหนดระยะเวลาให้เล่น internet ได้ถึง 4 ทุ่มของทุกวันเท่านั้น เป็นต้น